kid orthodontics chiangmai | จัดฟันเด็กเชียงใหม่

การจัดฟันในเด็ก

Children’s Orthodontics

เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ

    รอยยิ้มสวย เริ่มต้นได้
    ตั้งแต่วัยเด็ก

    ทราบหรือไม่คะว่า…
    เด็กวัยเพียง 7 ขวบ ก็สามารถเริ่มตรวจประเมินเพื่อวางแผนจัดฟันได้แล้ว

    หลายปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันสังเกต เช่น ฟันหน้าสบคร่อม ฟันยื่น ฟันซ้อนเก ฟันสบลึก การขาดพื้นที่สำหรับการขึ้นฟันแท้ และขากรรไกรบนแคบ

    ความผิดปกติเหล่านี้หากตรวจพบตั้งแต่ยังเด็ก ทันตแพทย์จะสามารถทำการรักษาได้ง่ายกว่า และช่วยให้โครงหน้าและฟันเรียงตัวได้อย่างสมดุลมากขึ้นในระยะยาว


    สมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งสหรัฐอเมริกา (AAO) แนะนำว่าเด็กควรเข้ารับการตรวจประเมินการสบฟันครั้งแรกกับทันตแพทย์จัดฟันเมื่ออายุประมาณ 7 ปี เนื่องจากเป็นช่วงที่ฟันแท้เริ่มขึ้นและสามารถประเมินแนวโน้มการเจริญเติบโตของโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรได้บ้างแล้ว

    การพาน้องมาพบทันตแพทย์จัดฟันไม่ได้หมายความว่าต้องเริ่มจัดทันที คุณหมอจะช่วยประเมินว่าการสบฟันอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ และควรเริ่มดูแลเมื่อใดจึงจะเหมาะสม

    การป้องกันไว้ก่อนย่อมง่ายกว่าการรักษาเมื่อปัญหาเริ่มรุนแรง การวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังช่วยลดโอกาสในการถอนฟัน หรือการผ่าตัดเมื่อลูกโตขึ้นอีกด้วยค่ะ

    การจัดฟันในช่วงเด็กสำคัญไหม หรือควรรอฟันแท้ขึ้นครบก่อนค่อยจัดฟัน

    ในเด็กที่มีโครงสร้างขากรรไกรปกติ แต่มีปัญหา เช่น ฟันซ้อนเก หรือฟันห่าง สามารถรอให้ฟันแท้ขึ้นครบก่อนเริ่มจัดฟันได้ โดยทั่วไปเมื่ออายุประมาณ 11–12 ปี

    แต่คำถามคือ…เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขากรรไกรของลูก “ปกติจริง” หรือเปล่า?

    หลายครั้ง สิ่งที่ผู้ปกครอง มองว่าเป็นปกติ อาจมีความผิดปกติซ่อนอยู่ เช่น ขากรรไกรบนแคบ ขากรรไกรล่างสั้น หรือฟันสบคร่อม

    ซึ่งหากปล่อยปัญหาไว้นาน อาจทำให้การเจริญเติบโตของโครงหน้าผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต


    แล้วถ้าเป็นเด็กที่มีปัญหาโครงสร้างขากรรไกรล่ะ

    ในกรณีที่เด็กมีความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกขากรรไกร การรักษาตั้งแต่ระยะแรกในช่วงฟันชุดผสม (mixed dentition) อายุประมาณ 7-11 ปี จะช่วยป้องกันและควบคุมแนวทางการเจริญเติบโตของขากรรไกรได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือที่เรียกว่า การรักษาแบบ Interceptive Treatment

    ปัญหาใดบ้างที่ควรรีบพาน้อง ๆ มาพบทันตแพทย์จัดฟัน

    บางปัญหาหากปล่อยไว้นาน อาจทำให้การรักษายุ่งยากขึ้น และแก้ไขได้ยากกว่าเดิมค่ะ

    ตัวอย่างปัญหาที่ควรพาน้อง ๆ มาตรวจตั้งแต่ยังเล็ก:

    • ฟันหน้าล่างคร่อมฟันหน้าบน

    • ฟันบนยื่นมากผิดปกติ

    • ขากรรไกรบนแคบ

    • เคยถอนฟันน้ำนมก่อนกำหนด ส่งผลให้ฟันแท้ไม่มีที่ขึ้น

    • มีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของฟันและขากรรไกร เช่น ดูดนิ้ว หายใจทางปาก หรือลิ้นดุนฟัน


      ปัญหาเหล่านี้ หากได้รับการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้วางแผนการรักษาได้ง่ายขึ้น และบางกรณีอาจสามารถหลีกเลี่ยงการถอนฟันหรือผ่าตัดในอนาคตได้เลยค่ะ

    kid orthodontics chiangmai | จัดฟันเด็กเชียงใหม่

    การรักษาในเด็กที่มีโครงสร้างขากรรไกรผิดปกติ… เรื่องเวลา “สำคัญ” แค่ไหน

    สำคัญมาก เพราะ “จังหวะเวลา” หรือ timing ของการรักษาเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อทั้ง ประสิทธิภาพ และ ระยะเวลา ของการรักษา

    ถ้าเริ่มรักษา “เร็วเกินไป”
    อาจทำให้การรักษายืดเยื้อ เด็กอาจรู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อ (burn out) ระหว่างทาง


    แต่ถ้าเริ่ม “ช้าเกินไป”

    การเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกรอาจผ่านพ้นช่วงที่สามารถควบคุมได้แล้ว ทำให้ไม่สามารถใช้เครื่องมือเพื่อกระตุ้นหรือชะลอการเจริญของขากรรไกรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป

    ในกรณีเช่นนี้

    ทันตแพทย์อาจต้องปรับแผนเป็น การจัดฟันบนโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ โดยไม่สามารถปรับรูปหน้าได้มากนัก

    หรืออาจต้อง วางแผนรักษาด้วยการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกร เมื่อน้องโตขึ้น เพื่อให้สามารถแก้ไขโครงสร้างกระดูกที่ผิดปกติได้อย่างครบถ้วนค่ะ

    แต่หากเริ่มรักษา “ถูกช่วงเวลา”
    จะช่วยให้แผนการรักษาเกิดผลเต็มประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อยลง และควบคุมการเจริญเติบโตของใบหน้าได้เหมาะสม

    ทันตแพทย์จัดฟันจะประเมิน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้ข้อมูลจากการประเมินการเจริญเติบโต เช่น

    • Height velocity curve – ดูอัตราการเพิ่มของส่วนสูงในปีที่ผ่านมา

    • Circumpubertal age – ช่วงอายุโดยประมาณที่ใกล้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์

    • Cervical Vertebral Maturation (CVM) – การประเมินพัฒนาการของกระดูกคอจากภาพ Cephalometric X-ray

    • Hand-Wrist Film – ฟิล์มถ่ายมือและข้อมือ เพื่อดูระดับพัฒนาการของกระดูกโดยรวม


      เพราะ “เวลา” ที่พอดี ไม่เพียงช่วยให้จัดฟันได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจ พร้อมโครงหน้าที่สมดุลในระยะยาวค่ะ

    จัดฟันในเด็ก แบ่งออกได้กี่ประเภท

    หากแบ่งตามลักษณะของ การเจริญของขากรรไกร สามารถแยกออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

    1. กลุ่มที่มี “การเจริญของขากรรไกรผิดปกติ”

    เด็กในกลุ่มนี้มักมีปัญหาโครงหน้าเจริญไม่สมดุล เช่น

    • ขากรรไกรบนหรือขากรรไกรล่างสั้นเกินไป

    • ขากรรไกรล่างเจริญมากกว่าปกติ จนฟันล่างสบคร่อมฟันบน

    • ขากรรไกรบนแคบ อาจส่งผลต่อการหายใจหรือแนวการขึ้นของฟัน

    • ควรพาน้อง ๆ มาตรวจประเมินกับทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่เนิ่น ๆ

      เพราะการเจริญเติบโตของกระดูกใบหน้าจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการแก้ไข

      ทันตแพทย์อาจใช้ ฟิล์มถ่ายมือ (Hand-Wrist X-ray) เพื่อประเมินระยะการเจริญของกระดูก

    • • Facemask therapy – ใช้ในเคสที่ขากรรไกรบนเจริญไปด้านหน้าช้ากว่าปกติ

      • Rapid Maxillary Expansion (RME) – สำหรับขยายขากรรไกรบนที่แคบ (บางกรณีอาจต้องปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก ร่วมด้วย)

      • Twin Block หรือ Invisalign MA – ใช้กระตุ้นการเจริญของขากรรไกรล่างที่สั้น

    • เพื่อควบคุมทิศทางการเจริญของโครงหน้าให้สมดุลและวางพื้นฐานให้พร้อมสำหรับการจัดฟันระยะที่สองเมื่อโตขึ้น

    2. กลุ่มที่ “การเจริญของขากรรไกรปกติ แต่มีฟันเรียงตัวผิดปกติ”

    เด็กในกลุ่มนี้มีโครงหน้าปกติ แต่พบปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นของฟัน เช่น

    • ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง

    • ฟันซ้อนเก

    • ไม่มีพื้นที่ให้ฟันแท้ขึ้น

    • ฟันหน้าสบคร่อมที่เกิดจากฟันเอียง ไม่ใช่โครงขากรรไกร

      • ใช้เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ ร่วมกับสปริงหรือสกรู เพื่อเคลื่อนฟัน

      • หากมีช่องว่างจากการถอนฟันน้ำนมก่อนเวลา อาจใส่เครื่องมือกันที่ เพื่อไม่ให้ฟันข้างเคียงล้ม

      • ฟันหน้าสบคร่อมจากแนวฟันเอียง สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือต่อไปนี้ เช่น

        • เครื่องมือถอดได้

        • เครื่องมือติดแน่นบางส่วน (2x4 Appliances)

        • จัดฟันใส เช่น Invisalign First หรือ Spark Aligners

    • หากปล่อยฟันหน้าสบคร่อมไว้นาน อาจขัดขวางการเจริญของขากรรไกรบน จนทำให้โครงหน้าผิดปกติในอนาคต และการรักษาอาจยุ่งยากขึ้นจนถึงขั้นต้องผ่าตัดขากรรไกร

    เครื่องมือจัดฟันแต่ละแบบมีหน้าที่และข้อจำกัดแตกต่างกัน

    การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์จัดฟันเฉพาะทาง โดยพิจารณาจากลักษณะปัญหาของฟันและขากรรไกร พฤติกรรมของเด็ก และช่วงวัยที่เหมาะสม บางกรณีอาจต้องใช้เครื่องมือมากกว่า 1 ประเภทร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด

    เครื่องมือจัดฟันสำหรับเด็ก
    ควรเลือกแบบไหน

    “ลูกควรใช้เครื่องมือแบบถอดได้ แบบติดแน่น หรือแบบใส่นอกปาก?”
    เป็นคำถามยอดฮิตของคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยจัดฟัน

    คำตอบคือ…

    ไม่มีเครื่องมือชนิดไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่มีเครื่องมือที่ เหมาะสมที่สุดกับปัญหาเฉพาะของเด็กแต่ละคนค่ะ

    เครื่องมือจัดฟันสำหรับเด็กสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

    • 1. เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ (Removable appliances)

      เครื่องมือชนิดนี้น้อง ๆ สามารถถอดเข้าออกได้ด้วยตนเอง ใช้ในกรณีที่มีปัญหาเบื้องต้น เช่น ขยายขากรรไกรเล็กน้อย ฟันสบคร่อม 1–2 ซี่ หรือฟันขึ้นผิดตำแหน่งเล็กน้อย

      เครื่องมือในกลุ่มนี้รวมถึงเครื่องมือจัดฟันใส เช่น Spark Aligners และ Invisalign First

      ซึ่งให้ความสบายในการใส่ เนื่องจากผลิตขึ้นมาเฉพาะบุคคล และเหมาะกับเด็กที่มีวินัยและให้ความร่วมมือดี

      สามารถใช้แก้ไขความผิดปกติของการสบฟันที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

    • 2. เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น (Fixed appliances)

      เครื่องมือชนิดนี้จะติดอยู่ในช่องปากตลอดเวลา ไม่สามารถถอดออกเองได้ เช่น

      เครื่องมือขยายขากรรไกรแบบเร็ว (Rapid Maxillary Expansion – RME) หรือการจัดฟันโลหะแบบ 2x4 Appliance

      ข้อจำกัดคือ เด็กอาจต้องใช้เวลาปรับตัว โดยเฉพาะในช่วงแรกที่อาจเกิดการระคายเคืองภายในช่องปาก

    • 3. เครื่องมือจัดฟันแบบใส่นอกปาก (Extraoral appliances)

      ใช้ในกรณีที่มีความผิดปกติของการเจริญขากรรไกร เช่น ขากรรไกรบนเจริญช้ากว่าปกติ ส่งผลให้ใบหน้าดูลักษณะคางยื่น

      ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้บ่อย ได้แก่ Facemask ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใส่นอกปาก เพื่อกระตุ้นการเจริญของขากรรไกรบน

      โดยทั่วไปจะใส่เฉพาะตอนอยู่บ้านหรือตอนนอนเท่านั้น

    เครื่องมือจัดฟันแต่ละแบบมีหน้าที่และข้อจำกัดแตกต่างกัน

    การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์จัดฟันเฉพาะทาง
    โดยพิจารณาจากลักษณะปัญหาของฟันและขากรรไกร พฤติกรรมของเด็ก และช่วงวัยที่เหมาะสม

    บางกรณีอาจต้องใช้เครื่องมือมากกว่า 1 ประเภทร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด

    จัดฟันใสในเด็กทำได้ไหม

    ปัจจุบันการจัดฟันใสไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้ใหญ่เท่านั้น

    เด็กที่อยู่ในช่วงฟันผสม (ประมาณอายุ 6–12 ปี) ก็สามารถจัดฟันใสได้เช่นกัน โดยเครื่องมือจะถูกออกแบบเฉพาะบุคคล ให้พอดีกับฟันของน้อง ๆ ในช่วงที่มีทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้

    การจัดฟันใสในเด็กได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเครื่องมือมีลักษณะใส ใส่สบาย ไม่บาดเหงือกหรือกระพุ้งแก้ม สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน และตอบโจทย์ผู้ปกครองที่ต้องการเครื่องมือที่ดูแลง่ายกว่าแบบติดแน่น หมดกังวลเรื่องเครื่องมือหลุดหรือปวดจากลวดบาดในกรณีฉุกเฉิน

    อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการจัดฟันใสในเด็ก ยังคงต้องอาศัย “วินัยในการใส่เครื่องมือ” อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการดูแลร่วมกันของคุณพ่อคุณแม่อย่างใกล้ชิดค่ะ

    หากสนใจจัดฟันใสให้ลูกน้อย แนะนำให้เข้ารับการประเมินกับทันตแพทย์จัดฟันเฉพาะทาง เพื่อดูว่าเคสของน้องเหมาะกับการจัดฟันใสหรือไม่ และวางแผนการรักษาให้ตรงจุดที่สุดค่ะ

    จัดฟันใสให้เด็ก… แบรนด์ไหนตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและความปลอดภัย

    ที่ Bigmouthten เรามีบริการจัดฟันใสสำหรับเด็กด้วย 2 แบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ Spark Aligners และ Invisalign

    ซึ่งทั้งสองแบรนด์เป็นเครื่องมือจัดฟันใสที่ผลิตจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) ได้รับการยอมรับในระดับสากลทั้งในด้าน คุณภาพ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่แม่นยำ เครื่องมือจัดฟันใสทั้งสองแบรนด์ถูกออกแบบแบบ เฉพาะบุคคล (custom-made) พอดีกับฟันของน้อง ๆ ไม่บาดเหงือก ไม่ระคายเคือง และสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน ช่วยให้เด็กดูแลช่องปากได้ง่าย และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย

    คำถามที่พบบ่อย

    • หากสังเกตว่าฟันแท้ของลูกขึ้นด้านในหรือซ้อนกับฟันซี่อื่น โดยเฉพาะฟันหน้าบนหรือล่าง แนะนำให้พามาพบทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่อายุ 7–8 ปี เพราะหากปล่อยไว้อาจทำให้แนวฟันผิดปกติมากขึ้น และยากต่อการจัดฟันในอนาคต

      สามารถใช้เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ ติดแน่นบางส่วน หรือเครื่องมือใส เช่น Spark Aligners หรือ Invisalign First เพื่อช่วยจัดฟันที่ซ้อนได้

      อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บทความ ลูกฟันซ้อนขึ้นด้านใน ต้องจัดฟันไหม ทำอย่างไรดี

    • ปกติแล้วคุณหมอแนะนำให้พาน้อง ๆ มาตรวจเช็กการสบฟันครั้งแรกตอนอายุประมาณ 7 ปี ค่ะ

      ถึงแม้ยังไม่ต้องจัดทันที แต่การได้ประเมินแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณหมอวางแผนดูแลพัฒนาการฟันและขากรรไกรของน้อง ๆ ได้อย่างเหมาะสมที่สุดค่ะ

    • หลาย ๆ ปัญหา เช่น ฟันสบคร่อม ฟันยื่น ฟันซ้อนเก หรือขากรรไกรแคบ

      หากตรวจพบตั้งแต่ยังเล็ก จะสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่า และป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามเมื่อโตค่ะ

    • การจัดฟันใส เช่น Spark Aligners หรือ Invisalign First

      น้อง ๆ จะรู้สึกสบายมากกว่า เพราะเครื่องมือเรียบเนียน ไม่ระคายเหงือก

      สามารถถอดออกได้เวลารับประทานอาหารหรือแปรงฟัน แต่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างสูงในการใส่เครื่องมือให้ครบตามเวลา

      ในขณะที่ การจัดฟันโลหะ เป็นเครื่องมือติดแน่นในช่องปาก

      เหมาะกับเด็กที่อาจยังขาดความสม่ำเสมอในการดูแลตัวเอง

      ราคาย่อมเยากว่า แต่มีโอกาสระคายเคืองเนื้อเยื่อในช่องปาก หรือมีปัญหาเครื่องมือหลุดในบางครั้งได้ค่ะ

    • การจัดฟันระยะแรก (Phase I) คือการเริ่มดูแลปัญหาการสบฟันหรือโครงสร้างขากรรไกรตั้งแต่ช่วงที่ยังมีทั้งฟันน้ำนมและฟันแท้ (อายุประมาณ 7–12 ปี)

      โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขหรือควบคุมปัญหา เช่น ฟันสบคร่อม ฟันยื่น ฟันซ้อนเก ขาดพื้นที่ให้ฟันแท้ขึ้นจากการสูญเสียฟันน้ำนมก่อนกำหนด หรือความผิดปกติของขากรรไกร ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม

      อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เด็กทุกคนที่จำเป็นต้องจัดฟันระยะแรกค่ะ

      ทันตแพทย์จัดฟันเฉพาะทางจะเป็นผู้ประเมินจากลักษณะการสบฟันและแนวโน้มการเจริญเติบโตของขากรรไกร

      หากตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ การเริ่มดูแลในช่วงนี้จะช่วยให้น้อง ๆ มีพัฒนาการโครงหน้าที่สมดุล และลดความซับซ้อนของการรักษาในอนาคตได้ค่ะ

    • ในหลาย ๆ กรณี แม้จะจัดฟันระยะแรก (Phase I) แล้ว

      เมื่อฟันแท้ขึ้นครบ ยังอาจจำเป็นต้องมีการจัดฟันในระยะที่สอง (Phase II) เพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ

      การจัดฟันระยะแรกมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขหรือควบคุมปัญหาโครงสร้างใหญ่ ๆ และเตรียมสภาพช่องปากให้พร้อมที่สุด

      แต่เมื่อลูกมีฟันแท้ครบแล้ว อาจยังต้องปรับการเรียงตัวของฟันเพื่อให้ได้การสบฟันที่เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุดค่ะ

      อย่างไรก็ตาม เด็กที่ได้รับการดูแลตั้งแต่ระยะแรก จะมีแนวโน้มใช้เวลาจัดฟันระยะที่สองน้อยลง

      และลดความซับซ้อนของการรักษาในอนาคตได้อย่างมากค่ะ

    • การจัดฟันระยะที่สอง (Phase II) คือการจัดฟันในช่วงที่ฟันแท้ขึ้นครบแล้วค่ะ

      โดยมีเป้าหมายเพื่อ เรียงฟันแท้ให้เข้าตำแหน่งที่เหมาะสม และ ปรับการสบฟัน ให้ทำงานได้ดี ทั้งเรื่องการบดเคี้ยว การพูด และเสริมบุคลิกภาพและรอยยิ้มให้น้อง ๆ ดูมั่นใจยิ่งขึ้นค่ะ

      เครื่องมือที่ใช้ในระยะนี้ อาจเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น (เช่น การจัดฟันโลหะ) หรือเครื่องมือจัดฟันใส (เช่น Spark Aligners หรือ Invisalign)

      โดยคุณหมอจะช่วยประเมินและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับน้อง ๆ แต่ละคน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามและได้ประสิทธิภาพดีที่สุดค่ะ

    • การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก (Pediatric Sleep Apnea) ต้องพิจารณาร่วมกับสาเหตุอื่น ๆ ด้วย เช่น ขนาดของต่อมทอนซิลหรืออะดีนอยด์ค่ะ

      ดังนั้นจึงควรมีการประเมินร่วมกันระหว่าง ทันตแพทย์จัดฟัน และ แพทย์เฉพาะทางหูคอจมูก (ENT) เพื่อวางแผนการดูแลอย่างเหมาะสมที่สุด

      เครื่องมือจัดฟันบางชนิด เช่น เครื่องมือขยายขากรรไกรบน (Rapid Maxillary Expansion – RME) และ Twin Block Appliance

      สามารถช่วยเพิ่มขนาดทางเดินหายใจ และในบางกรณีอาจช่วยลดอาการหยุดหายใจขณะหลับในเด็กได้ค่ะ

    • การจัดฟันใสในเด็ก เช่น Spark Aligners หรือ Invisalign First มีข้อดีหลายอย่างค่ะ เช่น

      • เครื่องมือบางและใส สวมใส่สบาย ไม่บาดเหงือกหรือกระพุ้งแก้ม

      • ถอดออกได้ง่าย เวลาทานอาหารหรือแปรงฟัน จึงดูแลสุขภาพช่องปากได้ดี

      • ช่วยให้น้อง ๆ มั่นใจในรอยยิ้ม เพราะแทบมองไม่เห็นเครื่องมือ

      • ลดโอกาสเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น เครื่องมือหลุดหรือบาดเจ็บจากเหล็กจัดฟัน

      • ออกแบบเฉพาะบุคคล ทำให้เคลื่อนฟันได้อย่างนุ่มนวลและแม่นยำ

      อย่างไรก็ตาม การจัดฟันใสในเด็กจะได้ผลดีเมื่อน้อง ๆ มีความร่วมมือในการใส่เครื่องมือสม่ำเสมอค่ะ

    • อาจดูเหมือนไม่มีอะไร… แต่การหายใจทางปากเรื้อรังในเด็กสามารถส่งผลต่อพัฒนาการของใบหน้า ทำให้เกิดภาวะหน้ายาว ฟันยื่น หรือการสบฟันผิดปกติในระยะยาว

      ยังเพิ่มความเสี่ยงฟันผุ ช่องปากแห้ง และปัญหาอื่น ๆ ในช่องปากอีกด้วย

      หากสังเกตว่าเด็กหายใจทางปากบ่อย โดยเฉพาะตอนนอน ควรพาพบแพทย์เพื่อตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ

    • ฝุ่น PM2.5 อาจกระตุ้นให้เด็กเกิดภูมิแพ้เรื้อรัง ส่งผลให้ต่อมอดีนอยด์หรือทอนซิลโต จนต้องหายใจทางปากเป็นประจำ

      เมื่อหายใจทางปากบ่อย อาจมีผลต่อการเจริญของใบหน้าและการสบฟันในระยะยาว

      ที่ Bigmouthten เราทำงานร่วมกับแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูกในเด็ก เพื่อดูแลทั้งทางเดินหายใจและพัฒนาการทางใบหน้าและฟันอย่างครบถ้วน

    • เด็กที่กรนเสียงดัง หายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะหลับ อาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก (Pediatric Sleep Apnea) ซึ่งส่งผลต่อการนอนหลับ การเรียนรู้ และพัฒนาการโดยรวม

      ควรพาไปพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูกในเด็ก เพื่อประเมินและพิจารณาการตรวจ sleep test หากจำเป็น

    REVIEW CASES

    ก่อนและหลัง จัดฟันเด็ก ที่บิ๊กเม้าท์เท็น

    The Benefits of Combined Care

    The Benefits of Combined Care

    orthodontic braces chiangmai | จัดฟันเชียงใหม่

    ที่ Bigmouthten เราพร้อมดูแลน้อง ๆ ด้วยเครื่องมือจัดฟันทุกประเภท พร้อมทีมคุณหมอเฉพาะทางที่วางแผนการรักษาอย่างละเอียดเฉพาะบุคคล

    เพื่อให้เด็ก ๆ เติบโตอย่างมั่นใจ ด้วยรอยยิ้มที่สวยงามและโครงหน้าที่สมดุลตั้งแต่วัยเยาว์ค่ะ